Polypill อาจลดความเสี่ยงหัวใจวายและหลอดเลือดสมองถึงร้อยละ 40

McMaster University, Agencies

          ยาเม็ดเดี่ยวที่ประกอบด้วยยาคอเลสเตอรอลและยาความดันโลหิตสามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้มากถึงร้อยละ 40 ตามรายงานการศึกษาระหว่างประเทศครั้งใหม่
          Polypill เป็นยารวมที่ประกอบด้วยยารักษาความดันโลหิตที่เป็นยาสามัญและยา statin ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวกับหัวใจในผู้ที่ไม่เคยมีประวัติของปัญหาโรคหัวใจมาก่อน ตามรายงานผลการทดลองทางคลินิก
          คณะผู้วิจัยรายงานว่า การใช้ polypill อย่างเดียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง การผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงที่อุดกั้นและโรคหัวใจอื่น ๆ ลงได้ประมาณร้อยละ 20
          ขณะที่ผลการค้นพบแสดงว่า เมื่อใช้ polypill ร่วมกับยาแอสไพรินขนาดต่ำทุกวันจะเพิ่มประสิทธิผลยิ่งขึ้นอีก โดยลดปัญหาสุขภาพของหัวใจลงได้มากถึงร้อยละ 40
          “เราประเมินว่า ถ้าผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวานเพียงครึ่งหนึ่งได้รับการรักษาด้วย polypill จะหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร รวมทั้งโรคหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างน้อยระหว่าง 2 ถึง 4 ล้านคน ในแต่ละปี” Dr. Salim Yusuf ศาสตราจารย์สาขาการแพทย์ที่ McMaster University ในประเทศแคนาดา กล่าว
          ยา polypill นั้นยังมีประโยชน์ประการอื่น ๆ ด้วย Dr.Yusuf กล่าว เป็นยาที่รับประทานได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ป่วยซึ่งไม่ต้องรับประทานยาเป็นกำมือทุก ๆ วัน และง่ายสำหรับแพทย์ที่เขียนใบสั่งยาแค่รายการเดียว ยานี้ยังทำตลาดและกระจายออกไปได้ในราคาที่ถูกยิ่งขึ้นด้วย
          “โดยส่วนตัวอยากให้ผู้ป่วยใช้ยาที่เป็นส่วนประกอบยาแยกจากกันหรือรวมกัน ถ้าการใช้รวมกันได้สะดวกกว่า แล้วทำไมเราจะไม่ใช้”
          มีการเผยแพร่ผลศึกษานี้แบบออนไลน์ในวารสาร New England Journal of Medicine ในการทดลองครั้งนี้ ได้สุ่มแบ่งผู้เข้าร่วมการศึกษามากกว่า 5,700 คน จาก 9 ประเทศ ออกเป็น 4 กลุ่ม
          และให้ผู้เข้าร่วมการศึกษาใช้ยาทุกวันตามแผนใดแผนหนึ่ง ดังนี้ (1) ใช้ทั้ง polypill และยาแอสไพริน (2) ใช้ยา polypill อย่างเดียว (3) ยาแอสไพรินอย่างเดียว หรือ (4) ใช้ยาหลอกเท่านั้น
          ยา polypill ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย simvastatin ช่วยลดคอเลสเตอรอล และยาความดันโลหิต 3 ชนิด (ได้แก่ ยา beta blocker ที่เรียกว่า atenolol ยาขับปัสสาวะ hydrochlorothiazide และ ACE inhibitor ที่เรียกว่า ramipril)
          นักวิจัยพบว่า เมื่อเทียบกับยาหลอก ยา polypill ประสบความสำเร็จในการลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอล
          มีเพียงร้อยละ 4.4 ของผู้ที่ใช้ยา polypill อย่างเดียวที่เป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือเข้ารับการผ่าตัดเปิดหลอดเลือดแดงหรือเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ เทียบกับร้อยละ 5.5 ในผู้ที่ใช้ยาหลอก พบว่า ประมาณร้อยละ 4.1 ของผู้ที่ใช้ยาแอสไพรินอย่างเดียวป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับหัวใจเทียบกับร้อยละ 4.7 ของผู้ที่ใช้ยาหลอก
          คณะผู้วิจัยพบว่า การใช้ยาผสม polypill กับแอสไพรินลดปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจและการเสียชีวิตได้ร้อยละ 31 และผู้ที่ใช้ยาต่อไปโดยไม่หยุดเป็นเวลาประมาณ 4 ปี ลดความเสี่ยงต่อปัญหาโรคหัวใจลงได้ร้อยละ 40
          “เมื่อดูที่ยาผสม polypill กับแอสไพริน จะเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงอย่างมาก” Dr. Eugene Yang ว่าที่ประธาน Prevention of Cardiovascular Disease Council แห่ง American College of Cardiology's กล่าว
          ในสหรัฐอเมริกา ยา polypill นี้เป็นเครื่องมือที่มีคุณประโยชน์ในการป้องกันสุขภาพของหัวใจในผู้ที่มีโอกาสน้อยในการเข้าถึงบริการดูแลสุขภาพ” Dr.Yang บอก
          “เนื่องจากความไม่เท่าเทียมของบริการสุขภาพในประเทศนี้ จึงมีโอกาสที่ยา polypill ในสหรัฐอเมริกาจะเอื้อประโยชน์ได้”
          ปัจจุบันยังไม่มี polypill ที่ประกอบด้วยยาลดคอเลสเตอรอลและยาความดันโลหิตในสหรัฐอเมริกา Dr.Yusuf กล่าว
          Dr.Yang ชี้ให้เห็นว่า “ข้อเท็จจริงที่ว่ายานี้เป็นยาสามัญได้กลายเป็นดาบสองคม เนื่องจากไม่มีบริษัทยาใหญ่ ๆ ยินดีที่จะลงทุนด้วยเงินจำนวนมากเพื่อพัฒนาและทำตลาดยา polypill จึงอาจจะต้องให้บริษัทประกันสุขภาพหรือรัฐบาล หรือองค์การการกุศลพัฒนายา polypill”
          ในกลุ่มแพทย์อาจจะยังมีความลังเลอยู่บ้างในการจะสั่งยาเม็ดที่ประกอบด้วยยาแตกต่างกันหลายชนิด Dr.Yang กล่าวเพิ่มเติม
          “เราได้รับการสอนในโรงเรียนแพทย์ว่า จะต้องให้ยา 1 ขนาด ณ เวลาหนึ่ง ๆ และดูว่าให้ผลเป็นอย่างไร ก่อนที่จะเพิ่มยาชนิดที่ 2 ” Dr.Yang
          การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนร้อยละ 95 จากองค์การการกุศล เช่น Wellcome Trust UK และหน่วยงานรัฐบาล Dr.Yang กล่าวและบอกว่า Cadila Pharmaceuticals บริษัทของอินเดียให้ทุนสนับสนุนร้อยละ 5 ซึ่งครอบคลุมการผลิตและการกระจายยาด้วย
          คณะผู้วิจัยได้นำเสนอผลการค้นพบนี้ต่อที่ประชุมเสมือนของ American Heart Association ในปีนี้