กระทรวงสาธารณสุขรับมอบวัคซีนโควิด-19 จากแอสตร้าเซนเนก้า 117,300 โดส เก็บเข้าคลังวัคซีน กรมควบคุมโรค มีระบบเก็บรักษาและควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐาน ก่อนนำไปฉีดกลุ่มเป้าหมายตามที่กำหนด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีตรวจรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 117,300 โดส
นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยจัดหาวัคซีนโควิด-19 จำนวน 63 ล้านโดส แต่เนื่องจากเหตุการณ์ระบาดระลอกใหม่ จึงมีการประสานจัดหาวัคซีนเข้ามาเพื่อรองรับสถานการณ์ ซึ่งแอสตร้าเซนเนก้าจัดหามาจากแหล่งผลิตในต่างประเทศตามคำร้องขอจำนวน 117,300 โดส ถือเป็นส่วนหนึ่งของวัคซีน 61 ล้านโดส ที่จะผลิตในประเทศ โดยวัคซีนมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และส่งมอบวัคซีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุข โดยบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินการขนส่งโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จากการตรวจพบว่าวัคซีนอยู่ในสภาพสมบูรณ์และเก็บเข้าคลังวัคซีนกรมควบคุมโรคที่ควบคุมอุณหภูมิตามมาตรฐาน
“หลังจากนี้จะนำไปฉีดให้แก่กลุ่มเป้าหมายต่อไป ซึ่งวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่อายุมากกว่า 60 ปี โดยการกระจายวัคซีนจะมีคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด-19 ดำเนินการจัดสรร ส่วนนายกรัฐมนตรีมีอายุมากกว่า 60 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับวัคซีนได้ นอกจากเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ มีการประชุมและพบปะผู้คนจำนวนมาก ยังสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนด้วย” นายอนุทินกล่าว
สำหรับคลังวัคซีนกรมควบคุมโรค เป็นที่จัดเก็บวัคซีนสำคัญของประเทศ เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่, หัด, หัดเยอรมัน, โปลิโอชนิดรับประทาน, คอตีบ, บาดทะยัก, วัคซีนไข้เหลือง, วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค และวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เป็นต้น ทั้งนี้ มีการทดสอบระบบทุกสัปดาห์ มีระบบสำรองไฟฟ้ากรณีไฟฟ้าดับหรือเหตุไม่คาดคิด มีกล้องวงจรปิดแบบเรียลไทม์ในทุกจุดสำคัญ มอบหมายผู้รับผิดชอบเพื่อบริหารจัดการจัดเก็บกุญแจที่ชัดเจน สแกนการเข้าออกคลังวัคซีนแบบจดจำใบหน้า และมีระบบแจ้งเตือนกรณีอุณหภูมิเปลี่ยนไปนอกเหนือจากช่วงอุณหภูมิที่กำหนดไว้
สำหรับวัคซีนซิโนแวคอีก 8 แสนโดส ที่จะเข้ามา นายหยาง ซิน อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้แจ้งว่า ทางการจีนได้อนุมัติและประสานบริษัทผู้ผลิตแล้ว คาดว่าจะมาถึงวันที่ 25 มี.ค. และยังขอเสนอให้ประเทศไทยพิจารณาฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่คนสัญชาติจีนที่อาศัยในประเทศไทย โดยประเทศไทยจะทำหนังสือแสดงความจำนงขอการสนับสนุนวัคซีนจากประเทศจีนในฐานะมิตรประเทศต่อไป หากให้วัคซีนมาก็อาจระบุเงื่อนไขว่าให้ดูแลคนจีนในประเทศไทยด้วย รวมถึงขอให้พิจารณาร่วมกับประเทศจีนจัดตั้งศูนย์การฉีดวัคซีนให้ชาวจีนโพ้นทะเลในภูมิภาคอาเซียน และเสนอเรื่องการยอมรับวัคซีนพาสปอร์ตระหว่างสองประเทศเป็นบับเบิลกัน เพื่อให้การเข้าประเทศมีความสะดวกขึ้น