ประกันสังคม-สปสช. ย้ำสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีความครอบคลุมแต่จะให้ดีที่สุดต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรค สปส.เล็งปรับแนวนโยบายเน้นการส่งเสริมสุขภาพ ตรวจคัดกรองและปรับพฤติกรรมสุขภาพผู้ประกันตนให้มากขึ้น ขณะที่ สปสช. นำร่องล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ หากได้ผลดีจะเพิ่มเป็นสิทธิประโยชน์ในอนาคต
สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดกิจกรรมเนื่องในวันโรคไตโลกประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด "ไตวายไม่ตายไว แค่ปรับใจและปรับตัว" โดยในงานนี้มีกิจกรรมเสวนาให้ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันโรคไต การให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์การรักษาโรคไตวายเรื้อรังจากตัวแทนสำนักงานประกันสังคม (สปส.) และ สปสช.
นางนงลักษณ์ กอวรกุล รักษาการผู้อำนวยการสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สปส. กล่าวว่า ในอดีตประกันสังคมไม่ครอบคลุมการบำบัดทดแทนไต แต่เพื่อไม่ให้เป็นภาระเศรษฐกิจครอบครัวผู้ป่วย สปส. จึงได้ขยายสิทธิเริ่มจากการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในปี 2542 จากนั้นเพิ่มสิทธิในเรื่องการล้างไตทางช่องท้องรวมทั้งสิทธิกรณีปลูกถ่ายอวัยวะ ปี 2548 โดยจะครอบคลุมผู้ประกันตน มาตรา 33 และ มาตรา 39 ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 40 จะใช้สิทธิการรักษาของ สปสช.
นางนงลักษณ์กล่าวว่า แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคไตในช่วงการเจ็บป่วยระยะแรก ๆ ก็จะเป็นการรักษาตามสิทธิปกติ แต่ถ้าเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย จะแยกเรื่องนี้ออกมาดูแลโดยเฉพาะเพื่อให้โรงพยาบาลไม่ต้องกังวลใจเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งการรับสิทธิประโยชน์บำบัดทดแทนไตจะมีขั้นตอน คือ ผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ต้องมีใบรับรองแพทย์มายื่นขอให้คณะอนุกรรมการบำบัดทดแทนไตของ สปส. พิจารณา ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ประกันยื่นขออนุมัติฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแล้วประมาณ 2 หมื่นคน ค่าใช้จ่ายแต่ละปีประมาณ 3,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยาที่จำเป็นกับผู้ป่วย เช่น ยากระตุ้นเม็ดโลหิต ก็อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ที่ สปส. ดูแลเช่นกัน
"ดังนั้น ผู้ที่เข้าสู่ไตวายระยะสุดท้ายไม่ต้องกังวลใจ แต่แม้ว่าเราจะดูแลการฟอกไตไปตลอด เราก็ไม่ต้องการเห็นผู้ป่วยเพิ่มจำนวนมากกว่านี้ ดังนั้น ทิศทางนโยบายในอนาคตจะเน้นการดูแลส่งเสริมสุขภาพ ทั้งการตรวจคัดกรอง การปรับพฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งขณะนี้เป็นสิทธิประโยชน์ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับที่ 4 แล้ว" นางนงลักษณ์ กล่าว
ด้าน ภก.คณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนระบบบริการทุติยภูมิและตติยภูมิ สปสช. กล่าวว่า โรคไตเป็นโรคค่าใช้จ่ายสูง เป็นโรคแห่งการล้มละลายถ้าต้องจ่ายเงินเอง ตอนที่ สปสช. ยังไม่ได้ให้สิทธิประโยชน์ครอบคลุมเรื่องนี้ ค่าฟอกไตอยู่ที่ 2,500-4,000 บาท/ครั้ง หรือปีละประมาณ 2-3 แสนบาท ซึ่งมีน้อยคนมากที่จะจ่ายได้ หลังจากนั้น สปสช. เริ่มให้สิทธิประโยชน์บำบัดทดแทนไตตั้งแต่ปี 2550 เพื่อให้ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายได้รับการบำบัดทดแทนไตทั้ง 3 วิธี โดยมีหลักการ คือ มีความครอบคลุม ไม่ว่าจะอยู่ในชนบทหรืออยู่ในเมืองต้องได้บริการเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ต้องหยุดการล้มละลายของประชาชน และที่สำคัญ ต้องมีการสร้างส่วนร่วมจากทุกฝ่ายในการป้องกันตัวเอง ทานอาหารที่เหมาะสมเพื่อลดการเกิดโรค
ภก.คณิตศักดิ์กล่าวอีกว่า สิทธิประโยชน์การบำบัดทดแทนไตของ สปสช. มี 3 อย่าง คือ ล้างไตทางหน้าท้อง ฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม และการผ่าตัดปลูกถ่ายไต อย่างไรก็ดี สปสช. จะเลือกการล้างไตทางหน้าท้องเป็นอันดับแรกก่อน เพราะในช่วงปี 2550 นั้น การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียมยังไม่แพร่หลาย อีกทั้งผู้ป่วยต้องเดินทางมาฟอกเลือดที่โรงพยาบาลสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เกิดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เสียเวลาครั้งละ 4-5 ชม. ดังนั้น สปสช. จึงเลือกวิธีการล้างไตทางหน้าท้องก่อนเพราะผู้ป่วยสามารถทำได้ที่บ้านด้วยตัวเอง โดย สปสช. จะจัดระบบส่งน้ำยาไปถึงที่บ้านทุกเดือนฟรี
อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ป่วยมีข้อจำกัดไม่สามารถล้างไตทางหน้าท้องก็จะให้สิทธิฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ส่วนการปลูกถ่ายไต ถ้าเข้าเงื่อนไขต่าง ๆ สปสช. ก็จ่ายค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมทั้งในอนาคตจะพัฒนาอีกขั้นด้วยการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องล้างอัตโนมัติ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างนำร่องในบางพื้นที่ ถ้าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ก็จะพิจารณาเพิ่มเป็นสิทธิประโยชน์ให้ในอนาคต
ภก.คณิตศักดิ์กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้ สปสช. จะมีระบบการดูแลผู้ป่วยโรคไต แต่สิ่งที่ดีที่สุด คือ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดการบริโภคเค็ม ดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคจะดีที่สุด