พูดถึงปัญหาโรคอ้วนได้ก่อกวนใจผู้คนและหน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งในอเมริกาสถานการณ์รอบเอวของประชากรในรัฐไหนที่น่าหวั่นใจ และมีปัจจัยส่งเสริมให้มีดัชนีมวลกายสูงเกินกว่าระดับมาตรฐาน
รายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ (CDC) ระบุว่า เวสต์เวอร์จิเนีย ลุยเซียนา และโอคลาโฮมา เป็นรัฐที่มีประชากรอ้วนมากที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยอัตราส่วนดัชนีมวลกาย หรือ BMI อยู่ที่ 40% ขึ้นไป
เจมี่ บัสเซล จากมูลนิธิ Robert Wood Johnson ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านสุขภาพ กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดจาก CDC ดูแล้วน่าหวั่นใจ โดย 22 รัฐ มีอัตราโรคอ้วนในผู้ใหญ่อยู่ที่ 35% ขึ้นไป โดยเพิ่มขึ้นจาก 19 รัฐ เมื่อปีที่แล้ว และเมื่อเรามองย้อนกลับไปเมื่อทศวรรษที่แล้ว ไม่มีรัฐใดที่มีอัตราโรคอ้วนในผู้ใหญ่อยู่ที่ 35% ขึ้นไปเลย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง
นอกจากเวสต์เวอร์จิเนีย ลุยเซียนา และโอคลาโฮมาแล้ว 22 รัฐที่มีอัตราโรคอ้วน 35% ขึ้นไป ได้แก่ แอละแบมา อาร์คันซอ เดลาแวร์ จอร์เจีย อินเดียนา ไอโอวา แคนซัส เคนตักกี มิสซิสซิปปี มิสซูรี เนแบรสกา นอร์ทดาโคตา โอไฮโอ เซาท์แคโรไลนา เซาท์ดาโคตา เทนเนสซี เท็กซัส เวอร์จิเนีย และวิสคอนซิน
ทั้งนี้ พบว่ามีคนเป็นโรคอ้วนมากที่สุดในแถบมิดเวสต์และภาคใต้ รองลงมา คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันตก นอกจากนี้ อัตราโรคอ้วนมีแนวโน้มสูงกว่าในหมู่คนผิวดำ ฮิสแปนิก ชนพื้นเมืองอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ รัฐในสหรัฐฯ มีอัตราการเป็นโรคอ้วนอย่างน้อย 20% โดย CDC ได้เรียกร้องให้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมในการป้องกันและรักษาโรคอ้วนอย่างเร่งด่วน
คาเรน แฮกเกอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันโรคเรื้อรังและการส่งเสริมสุขภาพแห่งชาติของ CDC กล่าวในการแถลงข่าวว่า โรคอ้วนเป็นโรคที่เกิดจากหลาย ๆ ปัจจัย ซึ่งรวมถึงรูปแบบการรับประทานอาหาร ระดับการออกกำลังกาย การนอนหลับในแต่ละวัน พันธุกรรม และการใช้ยาบางชนิด ทั้งนี้ หมายความว่าไม่มีการรักษาใดที่จะสามารถแก้ไขทุกปัญหาได้พร้อมกัน
แต่เราทราบดีว่ากลยุทธ์หลักที่ได้ผลนั้นรวมไปถึงการมีข้อกำหนดด้านสุขภาพที่สำคัญ ๆ ในสังคม เช่น การเข้าถึงการรักษาพยาบาล การมีอาหารเพื่อสุขภาพและราคาไม่แพง และมีสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการออกกำลังกาย เป็นต้น
บัสเซลกล่าวอีกว่า โครงการอาหารของรัฐบาลกลางที่เข้มงวดมากขึ้นนั้น เป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยเหลือครอบครัวที่ยากจน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2023 กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ หรือ USDA ได้เสนอให้มีการปรับปรุงอาหารของโรงเรียนเพื่อให้มีโภชนาการที่สอดคล้องกับแนวทางโภชนาการฉบับล่าสุด และการเปลี่ยนแปลงที่ว่า รวมไปถึงการจำกัดปริมาณน้ำตาล และการลดระดับโซเดียม
บัสเซลเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญมากที่อาจช่วยปรับปรุงคุณภาพอาหาร และช่วยให้สุขภาพของนักเรียนดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงในโปรแกรม WIC ซึ่งเป็นโครงการโภชนาการเสริมสำหรับสตรี ทารก และเด็ก ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อเติมเต็มช่องว่างทางโภชนาการที่สำคัญ
บัสเซลกล่าวต่อไปว่า เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ทาง USDA เสนอการปรับปรุงแพ็คเกจอาหารในโปรแกรม WIC เพื่อช่วยให้ครอบครัวได้ซื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น เธอย้ำด้วยว่า นโยบายเหล่านี้เป็นนโยบายระดับรัฐบาลกลางที่เชื่อว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ และทุกครอบครัวจะสามารถเจริญเติบโตและมีสุขภาพที่แข็งแรง และสามารถเข้าถึงอาหารที่ดีและมีคุณภาพสูงได้
เชลดอน เจคอบสัน ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐอิลลินอยส์ ซึ่งศึกษาเรื่องโรคอ้วน กล่าวว่า รัฐบาลควรลงทุนมากขึ้นในด้านระบบขนส่งสาธารณะเพื่อให้ผู้คนได้เคลื่อนไหวกันมากขึ้น และว่า สหรัฐฯ เป็นสังคมที่เน้นการใช้รถยนต์ โดยสร้างชุมชนที่มีศูนย์กลางอยู่แถบชานเมือง และมุ่งเน้นที่การขับรถมากกว่าการปั่นจักรยานหรือเดิน หรือแม้แต่การใช้การขนส่งสาธารณะ และด้วยเหตุนี้เอง การที่ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ จึงทำให้ผู้คนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับรัฐและดินแดนของสหรัฐฯ ที่มีอัตราการเป็นโรคอ้วนต่ำที่สุด ได้แก่ กรุงวอชิงตัน อยู่ที่ 24.3% โคโรลาโด 25% ฮาวาย 25.9% และเวอร์มอนต์ 26.8%
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล :www.voathai.com